วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

พุทธประวัติ


พุทธประวัติ

โดย โพธิธรรมสมาคมในสหรัฐอเมริกา


1. พระพุทธเจ้าของเราคือใคร

เมื่อหลายพันปีมาแล้วมีชนเผ่ามงโกลกลุ่มหนึ่งอพยพข้ามภูเขาหิมาลัย มาตั้งบ้านเมืองอยู่ทางทิศเหนือของประเทศอินเดียเชิงภูเขาหิมาลัย 4 แคว้น คือ แคว้นสักกะ (ดงไม้สัก) มีเมืองหลวงชื่อ กรุงกบิลพัสดุ, แคว้นโกลิยะ (ดงไม้กะเบา) มีเมืองหลวงชื่อ กรุงเทวทหะ สองแคว้นนี้พลเมืองน้อยจึงมีพ่อเมืองปกครองราษฎรแบบบิดาปกครองบุตร อีกสองแคว้นเป็นแคว้นใหญ่คือ แคว้นวัชชี มีเมืองหลวงชื่อ นครไพศาลี กับแคว้นมัลละ มีเมืองหลวงสองแก่งคือ นครปาวา กับ นครกุสินารา ทั้งสองแคว้นใหญ่ปกครองอย่างมีสภาแบบประชาธิปไตย

พระพุทธเจ้าของเรามีนามเดิมว่า “สิทธัตถะ” เป็นโอรสของท้าวสุทโธทนะกับนางมายา (สิริมหามายา) สิทธัตถะประสูติใต้ต้นสาละที่กำลังออดดอกสีแดงบานสะพรั่ง เพราะขณะนั้นนางมายากำลังประพาศวนอุทธยานที่ตำบลลุมพิณีวัน เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 80 ปี เกิดเจ็บครรภ์จะกลับเมืองไม่ทัน จึงมีประสูติกาลขึ้นกลางวนอุทธยานแห่งนั้น

ต่อมา นางมายาประชวนหนักสิ้นพระชนม์ ท้าวสุทโธทนะได้นางปชาบดี น้องนางมายาป็นชายาองค์ใหม่ซึ่งได้เป็นผู้เลี้ยงดูสิทธัตถะกุมารต่อมา และนางปชาบดีมีโอรสกหับท้าวสุทโธทนะหนึ่งองค์ชื่อว่า “นันทะ”

เมื่อกาฬเทวินดาบส ผู้เป็นพระอาจารย์ของท้าวสุทโธทนะมาเยี่ยมได้เห็นลักษณะมหาบุรุษ มีอยู่ครบถ้วนในองค์สิทธัตถะกุมารจึงทำนายว่ากุมารนี้ใอนาคตจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่เห็นว่าตนมีอายุมากแล้วจะมีชีวิตอยู่ไม่ทันได้รับความรู้อันนั้น จึงไปบอกนางมันตามีน้องสาว สั่งกำชับให้บุตรทั้งสองของนางชื่อ “โกณทัญญะ” กับ “ปุณณะ” ให้ตามไปบวชเพื่อเรียนความรู้จากเจ้าชายสิทธัตถะในอนาคต โกฯทัญญะ คนนี้คือ ข้าราชบริพารที่ตามไปบวชคนหนึ่งในจำนวนห้าคนที่เรียกว่า “ปัญจวัคคีย์” โกณทัญญะนั้นมีอายุมากกว่าเพื่อนเมื่อพระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนาโกณทัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม (บรรลุเป็นโสดาบันบุคคล) ได้ก่อนผู้อื่น ส่วนปุณณะนั้นตามไปบวชภายหลังโดยโกณทัญญะเป็นอุปัชฌายะ ปุณณะผู้นี้ได้รับความยกย่องว่าเมื่อมาบวชแล้วเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ 10 ประการของสมณะครบถ้วนเป็นตัวอย่างใหมู่ภิกษุเผ่ามงโกล*

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญวัยขึ้น ท้าวสุทโธทนะได้มอบให้ “วิศวามิตรดาบส” นักปราชญ์ชาวมงโกลเป็นพระอาจารย์สั่งสอนให้สิทธัตถะกุมารเข้าฌาณสมบัติได้ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ครั้งเติบโตก็ได้ศึกษาปรัชญาชีวิตการแสวงหาความพ้นทุกข์ทางจิตใจจากลัทธิสางขยะ, ลัทธิโยคะ, ลัทธิไชนะ, ซึ่งเป็นพื้นฐานวิชาความรู้ของชนเผ่ามงโกล ตลอดจนได้ศึกษาวิชาการรบจนมีความชำนาญในการขี่ม้ายิงธนูและการต่อสู้ต่อตัวเยี่ยมยอดกว่าผู้อื่น

*คุณสมบัติ 10 ประการของสมณะ คือ 1. มีความปราถนาน้อย 2. มีสันโดษ 3. สงัดกายสงัดใจ 4. ไม่ระคนด้วยหมู่ 5. เพียรเพื่อละกิเลส 6. มีศิลบริสุทธ์ 7. มีสมาธิชอบ 8. มีปัญญาเห็นแจ้งอริยสัจจ์ 9. จิตวิมุตพ้นกิเลส 10. ทำพระนิพพานให้แจ้ง

พอเป็นหนุ่มท้าวสุทโธทนะได้จัดให้สิทธัตถะกุมารอภิเษกสมรสกับนาง “พิมพา” (ยโสธราพิมพา) บุตรีของท้าวสุปปะพุทธะ แห่งโกลิยะวงศ์ กับนางอมิตา (น้องสาวของสุทโธทนะ) เกิดบุตรชายคนเดียวคือ “ราหุล”

ตระกูลของพระพุทธเจ้าเรียกว่า “ศากยะวงศ์” แห่งกรุงกบิลพัสดุ มีความสัมพันธฺในการแต่งงานกันไปมากับตระกูล “โกลิยวงศ์” ท้าวสีหหนุผู้เป็นปู่ของพระพุทธเจ้าได้แต่งงานกับนางกาญจนาแห่งกรุงเทวทหะ แล้วท้าวอัญชนะแก่งกรุงเทวทหะก็แต่งงานกับนางยโสธรา น้องสาวของสีหหนุ การแต่งงานระหว่างวงศ์กษัตริย์ในหมู่ชนเผ่ามงโกลที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันสืบมาจนถึงสมัยเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งนางมายาพุทธมารดาที่สิ้นชีวิตไปแล้วก็เป็นบุตรีของท้าวอัญชนะแก่งกรุงเทวทหะนั้นเอง นางพิมพาจึงมีศักดิ์เป็นหลานและบุตรสะใภ้ของท้าวสุทโธทนะด้วย



2. การออกบวช

เจ้าชายสิทธัตถะ ไม่มีความอาลัยใยดีกับตำแหน่งรัชทายาทแห่งกรุงกบิลพัสดุ ทรงครุ่นคิดจะแสวงหาทางช่วยมนุษย์ในโลกให้พ้นจากความทุกข์ในชีวิตประจำวัน เนื่องจากได้ศึกษาแนวทางมาจากลัทธิสางขยะ, ลัทธิโยคะ, ลัทธิไชนะ, มาอย่างถี่ถ้วน จึงปราถนาทดลองปฏิบัติดูให้ถึงที่สุดว่าจะมีผลประการใด จึงดำริจะออกบวชเป็นโยคี (ผู้ปฏิบัติโยคะ) หรือดาบส (ผู้บำเพ็ญตบะ) อย่างพระอาจารย์ ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น มหาดเล็กมาทูลว่า โอรสประสูติแล้วจะประทานชื่อให้ว่าอย่างไร จึงทรงอุทานออกมาว่า “ราหุล” (บ่วง) “เกิดแล้วหนอ” คนทั่วไปจึงเรียกกุมารน้อยว่า “ราหุล”

ความรู้พื้นฐานของชนเผ่ามงโกล

1. ลัทธิสางขยะ ก่อตั้งโดยกบิลฤาษีนักปราชญ์ชาวมงโกลรุ่นเก่าซึ่งเคยอาศัยที่เชิงภูเขาหิมาลัยมาก่อน ต่อมาเมื่อบรรพบุรุษของพระพุทธเจ้ามาตั้งบ้านเมืองในท้องถิ่นนี้จึงตั้งชื่อว่ากรุงกบิลพัสดุเพื่อระลึกถึงเจ้าของเดิม หลักการโดยย่อของลัทธิสางขยะนั้นถือว่ากายไม่เที่ยง แต่จิตเที่ยง การที่เรารู้สึกเจ็บปวดทุกข์ร้อนขุ่นข้องหมองใจ เชื่อว่าเพราะจิตถูกขังอยู่ในกาย ถ้าสามารถแยกจิตซึ่งเป็นตัวรับรู้ความทุกข์ร้อนออกจากกายเสียได้ กายจะหมดความรู้สึกเป็นประหนึ่งท่อนไม้สิ้นความทุกข์ความเดือดร้อน เปรียบเสมือนเมื่อเราหกล้มหัวเข่าแตกเป็นแผลปวดบวม ถ้าเราแกล้งทำป็นไม่นึกถึงมัน ทำลืม ๆ ไปเสียหรือทำอะไรเพลิน ก็ลืมความเจ็บปวดทุกข์ร้อนไปได้ชั่วขณะ

2. ลัทธิโยคะ ก่อตั้งขึ้นโดยปตัญชลีศิษย์ของกรุงกบิลฤาษีได้นำเอาปรัชญาของลัทธิสางขยะมาคิดค้นหาวิธีทำให้ลืมความทุกข์ความเดือดร้อนได้นาน ๆ ด้วยการฝึกใช้กระแสจิตเพ่งไปยังสิ่งที่มีรูปร่างอันหนึ่งอย่างแน่วแน่โดยไม่คิดถึงเรื่องอื่นเลยเรียกว่า “รูปฌาณ” มีอยู่ 4 ขั้น และมีวิธีเพ่งจิตไปยังสิ่งไม่มีรูปเรียกว่า “อรูปฌาณ” อีก 4 ขั้น รวมกันเป็น ฌาณ 8 ขั้นเรียกว่า “วิชาโยคะ” ในยุคโบราณมีคนนิยมเข้าฌาณแบบโยคะกันมากเพราะทำให้จิตสงบลืมความทุกข์ความเดือดร้อนได้ชั่วระยะเวลาที่เข้าฌาณอยู่ แต่พอออกจากฌาณแล้วก็ยังมีความทุกข์ความเดือดร้อนเหมือนเดิมอีกต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้วท่านสอนวิธีปฏิบัติการประพฤติพรหมจรรย์ตามนัย “มรรคีองค์แปด” ทำผู้ปฏิบัติสามารถดับความทุกข์ความเดือดร้อนในจิตใจได้อย่างสิ้นเชิงเป็นการถาวรตามที่ท่านคิดค้นขึ้นมาใหม่ได้ด้วยตนเองโดยไม่มีใครสอนหรือลอกเลียนแบบใครมาจึงเรียกว่า “ตรัสรู้”

3. ลัทธิไชนะ ในยุคโบราณนั้นเอง มีนักปราชญ์เผ่ามงโกลชื่อ “ปารศะวนาถ” ก่อตั้งลัทธิไชนะ (ผ๔ชนะใจตนเอง) ขึ้นมามีหลักการโดยย่อว่าเพราะ “ชาติ” การเกิดจากท้องแม่มีร่างกายและจิตใจเป็นตัวเป็นตนขึ้นมานี่เองทำให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน เพราะเมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องแก่, ต้องเจ็บป่วย, ต้องตาย, ต้องเศร้าโศกเสียใจ, ไม่สมหวังต่าง ๆ ฉนั้นถ้าไม่มีการเกิดจากท้องแม่อีกในชาติหน้าก็จะไม่ประสบพบความทุกข์เลย เขาเชื่อว่าถ้าทำตัวดีไม่มีกิเลสตัณหาในชาตินี้แล้วเมื่อตายลงย่อมสิ้นเชื้อไม่มีกรรมนำไปเกิดอีกต่อไป จึงทรมานกายด้วยวิธีต่าง ๆ ให้สิ้นกิเลสตัณหา และในชาตินี้ชีวิตนี้ถ้าหากการทรมานกายนั้นทำให้ตายเร็ซเข้าก็เท่ากับมิ้นทุกข์ได้เร็วเข้าด้วย ฉนั้นจึงทรมานกายกันอย่างไม่กลัวตายถือว่าเป็นผู้กล้าหาญชนะใจตนเองได้ ลัทธินี้ให้สิทธิสตรีเป็นนักบวชได้เท่าเทียมกับบุรุษจึงหาสมัครพรรคพวกได้มาก ต่อมาภายหลังลัทธิไชนะได้ประกาศเป็นศาสนาหนึ่ง ที่เป็นคู่แข่งขันกับพุทธศาสนาซึ่งในบาลีเรียกว่าพวกเดียรถีย์นิครนถ์

ในการออกบวชของพระพุทธเจ้านั้น สันนิษฐานว่าเนื่องจากท่านคิดอยากออกบวชมานานแล้วและได้แสวงหาสถานที่วิเวกสงบสงัดตามป่าเขาฝึกเข้าฌาณอยู่เสมอ แล้ววันหนึ่งท่านก็ไม่เสด็จกลับโดยตัดมวยผมส่งมาให้ท้าวสุทโธทนะพร้อมเครื่องทรงกษัตริย์และม้าประจำตำแหน่งรัชทายาทแสดงการตัดสินใจเด็ดขาดว่าได้บวชแล้ว เพราะการตัดมวยผมออกให้ศรีษะโล้นในสมัยนั้นเขาถือกันว่าเป็นคนวรรณะต่ำไม่มีตระกูลพระญาติวงศ์ต่างก็พากันโศรกเศร้าหมดหาทางที่จะติดตามให้ท่านกลับคืนมาได้ แต่มีความหวังว่าวันหนึ่งท่านคงจะแสวงหาวิธีดับทุกข์ที่แท้จริงได้ดังคำทำนายของกาฬเทวินดาบส เรื่องจริงคงมีเท่านี้ แต่มีนักประพันธ์แต่งว่าท่านหนีออกบวชในเวลากลางคืนนั้นไม่น่าเชื่อ เพราะไม่มีการติดตาม และเรื่องที่ท่านคิดจะออกบวชนั้นคงมีการทันทานกันมามากแล้วเมื่อท่านตัดมวยผมส่งให้พระบิดา ก็เป็นการแสดงความตัดสินใจเด็ดขาดของท่านแล้วจึงไม่มีการติดตาม

เมื่เจ้าชายสิทธัตถะออดบวชแล้ว ได้มุ่งไปศึกษาวิชาโยคะชั้นสูง จากอาฬาดาบสที่นครไพศาลี จนทำฌาณเจ็ดได้คล่องแคล่ว แล้วไปเรียนทำฌาณแปดจากอุทกดาบสที่นครราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ ซึ่งเวลานั้นพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระราชา จนท่านทำฌาณแปดได้คล่องแคล่วจบวิชาโยคะแล้วไม่มีครูสอนต่อไปอีก ท่านจึงไปฝึกทำฌาณเก้า(นิโรธสมาบัติ) หยุดหายใจได้ตามเวลาที่กำหนดซึ่งยังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน แต่ท่านก็ยังเห็นว่ายังดับทุกข์ไม่ได้ถาวรเพราะเมื่อออกจากฌาณแล้วยังมีความทุกข์ความเดือดร้อนอยู่อีก ท่านจึงไปฝึกอดอาหารทรมานกายด้วยอาการต่าง ๆ ตามลัทธิไชนะ อยู่ในถ้ำดงคสิริ ตำบลคยา อย่างสาหัสถึงหกปีจนแทบสิ้นชีวิต ท่านก็เห็นว่าไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เพราะการพ้นทุกข์เมื่อตายหรือการไม่มีเกิดอีกในชาติหน้านั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรแก่มนุษย์ที่กำลังมีชีวิตอยู่ในชาตินี้ ท่านจึงหาวิธีใหม่โดยดำริว่าต้องเดินทางสายกลางคือบำรุงร่างกายให้แข็งแรงจึงจะมีสมองที่สมบูรณ์แจ่มใส ท่านจึงเริ่มเสวยอาหารให้ร่างกายแข็งแรงเพื่อให้ความคิดค้นหาวิธีดับทุกข์ให้ได้ในขณะที่มีชีวิตอยู่ จึงจะเป็นประโยชน์แก่มนุษย์โลก ขณะนั้นข้าราชบริพารที่ตามมาด้วยอยู่ด้วยกัน 5 คนที่ถูกเรียกว่า “ปัญจวัคคีย์” เห็นเจ้าชายสิทธัติถะเลิกทรมานกายกลับมาเสวยอาหารจึงคิดว่าคงเลิกทำความเพียรเสียแล้วคงไม่มีทางบรรลุมรรคผล จึงชวนกันหนีไปยังเมืองพาราณสีเพื่อศึกษาลัทธิไชนะเพิ่มเติมต่อจากอาจารย์ที่นั่นโดยไปพักอยู่ที่ป่า “อิสิปตนะมฤคทายวัน” ซึ่งห่างจากตัวเมืองราว 10 กม. ปัจจุบันเรียกว่า “สารนาถ”




3. การตรัสรู้

เมื่อปัญจวัคคีย์หนีไปแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะมีโอกาสใช้ความคิดได้อย่างเต็มที่เพราะไม่มีใครรบกวน ท่านจึงออกจากถ้ำดงคสิริลงมาสู่หมู่บ้านเสนานิคม ข้ามแม่น้ำเนรัญชราซึ่งเป็นแม่น้ำทรายมีน้ำใสไหลริน ๆ มีทิวทัศน์สวยงามทำให้จิตใจแจ่มใส ท่านไปแสวงหาที่สงบสงัดไกลผู้คนได้บนเนินดินซึ่งมีต้นไม่ใหญ่ขึ้นอย่างหนาแน่นร่มรื่น นั่งคิดค้นด้วยความเพียรอย่างแรงกล้าด้วยสติปัญญาอันเลิศมนุษย์ของท่าน ทำให้สามารถมองเห็นหลัก “อนัตตา” ได้ก่อนซึ่งไม่เคยมีใครรู้ จึงตั้งเป็นกฎอันเฉียบขาดของธรรมชาติ (Law of Nature) ขึ้นได้ว่า “สิ่งทั้งปวงล้วนแต่เป็นอนิจจังไม่เที่ยงแท้ ถ้าใครโง่ไปหลงยึดถือว่ามันเที่ยงแท้ พอมันเปลี่ยนแปลงไปก็เกิดความทุกข์ร้อน เพราะสิ่งทั้งปวงหาใช่ตัวตนที่เที่ยงแท้อะไรไม่” เป็นต้นว่าร่างกายและจิตใจของเราที่ท่านกำหนดเรียกว่า “ขันธ์ห้า” (รูปขันธ์, เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์, วิญาณขันธ์) เมื่อ รูปขันธ์ (รูปกาย) แตกดับคือตาย นามขันธ์ทั้งสี่ (เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ) ย่อมดับสลายตามรูปขันธ์ไปตามธรรมดาธรรมชาติของมันเพราะไม่มีรูปกายเป็นที่อาศัย นามขันธ์ทั้งสี่อย่างอันเป็นคุณสมบัติของจิตย่อมไม่เที่ยงและเป็นอนัตตาเช่นเดียวกับรูปขันธ์ ดังนั้นความรู้เก่าที่ได้รับมาจากปรัชญาสางขยะที่สอนกันว่า “กายไม่เที่ยง-แต่จิตเที่ยง” นั้นก็ผิด เพราะจิตก็ไม่เที่ยงเช่นเดียวกัน และความจริงนั้นสิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตาล้วน ๆ มิใช่ตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวรอะไรเลย ที่คนทั่วไปมองด้วยตาเนื้อเห็นว่าคนนั้นเป็นเพศชายหรือหญิงชื่อนั้นชื่อนี้นั้น เมื่อมองด้วยปัญญาจักษุแล้วก็เห็นได้ว่าเป็นเพียงสมมุติขึ้นเรียกกันชั่วระยะเวลาหนึ่งซึ่งไม่ช้าก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลงดับสลายหายไปหาแก่นสารที่แท้จริงไม่ได้เพราะมันล้วนแต่เป็น “อนัตตา”

1. ส่วนตัวทุกข์ว่า “ชาติ” การเกิดจากท้องแม่ถือว่าเป็นทุกข์ตามคำสอนของลัทธิไชนะนั้นก็ยังไม่ถูกต้อง ถ้าถือว่าเกิดมามีตัวทุกข์จะให้พ้นทุกข์ต้องตายอย่างนี้การพ้นทุกข์เมื่อตายก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ฉนั้นท่านจะต้องคิดค้นหาตัวทุกข์ที่ถูกต้องแท้จริงให้ได้อาศัยหลัก “อนัตตา” ที่ท่านได้ตรัสรู้นี้ ถ้าหากรู้แน่ชัดว่าตัวทุกข์ที่ถูกต้องตามสัจธรรมคืออะไรแล้วก็จะได้คิดค้นต่อไปว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร มันดับได้อย่างไร และมีวิธีปฏิบัติอย่างใดจึงจะดับทุกข์ภายในจิตใจได้อย่างถาวรให้เกิดประโยชน์สุขแก่มนุษย์ในชาตินี้ชีวิตนี้ได้

เมี่อท่านตรัสรู้หลัก “อนัตตา” ได้แล้วท่านมีจิตอันอิ่มเอิบปราโมทย์จึงเปลี่ยนอิริยาบถ โดยเดินข้ามแม่น้ำเนรัญชรามายังฝั่งหมู่บ้านเสนานิคมมานั่งพักสมองอยู่โคนต้นไทรใหญ่ริมน้ำ ครั้นเวลาเช้าตรู่นางทาสีพากันมาตักน้ำพบเข้าสำคัญว่าเป็นรุกขเทวดา เพราะแถวนั้นไม่เคยมีผู้คนมาก่อน จึงไปบอกนางสุชาดาผู้เป็นนาย นางสุชาดาเป็นลูกสาวพ่อบ้านและเพิ่งแต่งงานใหม่ปราถนาอยากได้บุตรชาย จึงปรุงข้าวมาธุปายาสใส่ถาดทองเหลืองนำมาถวายรุกขเทวดาเพื่อขอพรให้ได้บุตรชาย เจ้าชายสิทธัตถะจึงให้พรแล้วไปสรงน้ำแล้วมาเสวยข้าวมธุปายาสนั้นเสร็จแล้วก็ล้างถาดวางไว้ที่เดิมเพื่อให้เจ้าของมาเอาคืนไป ครั้นแล้วท่านก็เดินข้ามแม่น้ำเนรัญชรากลับมายังฝั่งตรงข้ามอันเป็นที่สงบสงัด มานั่งใต้ต้นโพธิใหญ่ซึ่งต่อไปจะได้ชื่อว่าเป็น “โพธิตรัสรู้-พุทธคยา”

คืนนั้นตรงกับ 15 ค่ำ เดือน 6 แสงจันทร์ส่องสว่างอากาศเย็นสบายเจ้าชายประทับนั่งหันหลังให้ต้นโพธิหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทรงกำหนดในพระทัยว่าตราบใดที่ยังไม่รู้แจ่มแจ้งเรื่องตัวทุกข์ที่เป็นสัจธรรมแท้จริง มู้วิธีดับทุกข์อย่างถาวแท้จริงแล้วจะไม่ลุกขึ้นจากที่นี้ ครั้นแล้วทรงกำหนดลมหายใจให้ละเอียดสม่ำเสมอ (อาณาปานสติ) มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ทำฌาณ 1-2-3-4 จนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ,บริสุทธ์ผ่องแผ้ว,ควรแก่การงาน แล้วใช้กระแสจิตอันแรงกล้าพิจารณารู้ตัวทุกข์อันแท้จริงนั้นคือ “อุปาทารขันธ์” หมายถึงความยึดมั่นในร่างกายและจิตใจว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา (เกิดอหังการ-มมังการ) ถ้ายึดมากทุกข์มาก, ยึดน้อยทุกข์น้อย, ไม่ยึดเลยก็ไม่ทุกข์เลย ทั้งนี้เพราะขันธ์ห้าเป็นที่ตั้งแห่งชีวิต มนุษย์และสัตว์ย่อมรักชีวิตเป็นสุดยอดจึงรักถนอมขันธ์ห้ายิ่งกว่าชีวิตเกรงจะแตกดับไป ความยึดมั่นในขันธ์ห้าว่าเป็นตัวเราของเราหรือที่เรียกว่า “อุปาทารขันธ์” จึงเป็นตัวทุกข์รวบยอดที่แท้จริงอันเป็นสัจธรรมพอดีสิ้นยามต้นแห่งราตรี การตรัสรู้ตัวทุกข์ว่าคืออุปาทานขันธ์นี้เรียกว่า บรรลุบุพเพนิวาสานุสติญาณ (รู้จักตัวทุกข์)

ต่อมาทางรู้ถึงเหตุเกิดและเหตุดับของอุปทานขันธ์ โดยสามารถใช้สติปัญญาไล่ทันวงจรกระแสจิต (ปฏิจจสมุปบาท) ที่รวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบได้ เรียกว่า รู้สมุทัย (เหตุเกิด) และรู้นิโรธ (เหตุดับ) ของตัวทุกข์ พอดีสิ้นยามสองแห่งราตรี นั่นคือบรรลุ จุตูปปาตญาณ

ครั้นแล้วทรงกำหนดวิธีปฏิบัติที่ถอนอุปาทานขันธ์ได้สิ้นเชิงเรียกว่า มรรควิธีมีองค์แปดประการพอดีสิ้นยามสามแห่งราตรี คือบรรลุอาสวักขยะญาณ เป็นเวลาใกล้รุ่ง กำหนดเป็นหัวข้อที่ตรัสรู้ 4 หัวข้อ คือ ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า “อริยสัจสี่” แปลว่า ความจริงอันประเสริฐสี่อย่างที่จะช่วยให้มนุษย์ในโลกพ้นทุกข์ทางจิตใจมีความสงบสุขได้ พระองค์จึงได้ชื่อว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมศาสดาเอกของโลก ซึ่ง “หลักอนัตตา” กับ “หลักอริยสัจสี่” นี้ไม่มีอยู่ในคำสอนของลัทธิศาสนาใด ๆ ในโลก คงมีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น

อนึ่งมรรคมีองค์แปดประการนี้ เรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่าคือ “การประพฤติพรหมจรรย์” ประกอบด้วย

1. สัมมาทิษฐิ (มีความเห็นอย่างถูกต้อง)

2. สัมมาสังกัปปะ (มีความคิด อย่างถูกต้อง) * 1,2 ปัญญา

3. สัมมาวาจา (มีคำพูด อันถูกต้อง)

4. สัมมากัมมันตะ (มีการงาน อันถูกต้อง)

5. สัมมาอาชีวะ (มีอาชีพที่ถูกต้อง) *3,4,5 ศีล

6. สัมมาวายามะ (มีความเพียร อันถูกต้อง)

7. สัมมาสติ (มีสติ อันถูกต้อง)

8. สัมมาสมาธิ (มีสมาธิจิตสงบ อันถูกต้อง) *6,7,8 สมาธิ

ย่อมาจากแปดประการลงได้เป็น 3 หัวข้อ คือ ปัญญา, ศีล, สมาธิ ถือเป็นแนวปฏิบัติอันเป็ฯทางสายกลางของชาวพุทธทั่วไปไม่ว่าฤาษีชีไพร, นักบวช, หรือฆราวาส อาจนำไปทดลองประพฤติปฏิบัติดูด้วยตนเองให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ในจิตใจได้ หรืออาจขยายรายละเอียดออกเป็นมงคล 38 ประการที่สามารถนำไปปฆิบัติให้จิตใจผ่องใสบริสุทธิ์สิ้นเชิงที่เรียกว่า “นิพพาน” ได้

คำว่า “นิพพาน” ในความหมายของพระพุทธเจ้า แสดงไว้ในมงคลข้อ 35, 36, 37, 38 รวมเรียกว่า จิตถึงความเป็นเอกสี่ขั้น คือ จิตที่ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม, จิตที่ไม่โศก, จิตที่สิ้นธุลี, จิตเกษม ดังนั้น “นิพพาน” ของพุทธศาสนาที่แท้จริเป็นเรื่องของจิตที่บริสุทธิ์ขั้นโลกุตตระ (เหนือโลก) สิ้นความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ในชาตินี้ชีวิตนี้ มิใช่นิพพานที่หมายความว่า ตาย ดังที่เราชอบพูดกันเล่น ๆ นั้นเลย การประพฤติพรหมจรรย์ให้อยู่จบเพื่อบรรลุนิพพานนั้น จำเป็นต้องมีสัมมาสติ และสัมมาสมาธิบริบูรณ์ คือมีสติบริบูรณ์ในกาย, เวทนา, จิต, ธรรม, ที่รวมเรียกว่า สติปัฏฐานสี่ ซึ่งการปฏิบัติที่สะดวกที่สุด ดดยฝึกกำหนดลมหายใจเข้าออก ที่เรียกว่า อาณาปานสติ 16 ขั้น ให้บริบูรณ์และจะบรรลุ ฌาณ1-2-3-4 ด้วยโดยอัตโนมัติ สามารถถอนอุปาทานขันธ์ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง



4. ทรงเผยแพร่พระธรรม

หลังจากตรัสรู้แล้วทรงเสวยวิมุติสุข ด้วยสัมมาสมาธิ คือระดับจิตอยู่ในโพชฌงค์เจ็ด (สติ, ธัมวิจยะ, วิริยะ, ปัสสัทธิ, สมาธิ, ปีติ, อุเบกขา) พักผ่อนอิริยาบทอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อทบทวนในเรื่องที่ตรัสรู้ให้ชัดเจนและแต่งเป็นคำสอนแล้วจึงเริ่มออกสั่งสอนมหาชน เริ่มต้นด้วยการไปสั่งสอนปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน โดยเดินทางไกลมากกว่า 250 กม. สมัยนั้นการเดินทางที่ไม่เหนื่อยนิยมเดินวันละหนึ่งโยชน์ตามมาตราอินเดียเทียบได้เท่ากับ 9 ไมล์ (14 กม.) ฉนั้นคงต้องเดินไม่น้อยกว่า 20 วัน เมื่อถึงแล้วพักหนึ่งคืนรุ่งขึ้นในยามราตรีแห่งวันที่ 15 ค่ำ เดือน 8 พระจันทร์ส่องแสงสว่างอากาศเย็นสบาย พระพุทธเจ้าได้แสดงปฐมเทศนาแก่ปัญวัคคีย์ด้วย “ธัมมจักรกัปปวัตนสูตร” (หลักอริยสัจสี่ซึ่งประกอบด้วยปฏิจจสมุปบาท 12 อาการ) ที่ริมหนองน้ำ ยังผลให้โกณทัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นคนแรก แล้วสอนอีกสี่คนต่อมาจนได้ดวงตาเห็นธรรมหมดพร้อมกัน (รู้แจ้งอริยสัจจและปฏิจจสมุปบาท) ครั้นแล้วทรงแสดงธรรมเทศนาด้วย “อนัตตาลักขณะสูตร” (หลักอนัตตา” ถอนความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าของปัญจวัคคีย์ให้จิตวิมุติหลุดพ้นจนถึงคงามเป็นเอกสี่ขั้นที่เรียกว่า “นิพพาน” บรรลุมรรคผลเป็ฯอรหันตสาวกชุดแรก 5 องค์ ขึ้นในโลก ต่อมาชาวพุทธเรียกวันปฐมเทศนานี้ว่า “อาสาฬหบูชา” พอดีย่างเข้าฤดูฝนพระพุทธเจ้าจึงจำพรรษา ๆ แรกอยู่ที่ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน กิติศัพท์ของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเจ้าชายเผ่ามงโกลแห่งศากยะวงศ์มาเป็นอาจารย์ปัญจวัคคีย์ที่เป็นปัญญาชนชั้นสูงให้บรรลุมรรคผลได้เลื่องลือไปทำให้ยสกุลบุตรผู้เป็นบุตรชายของประธานรัฐสภาแห่งกรุงพาราณสีมาสนทนาธรรมกับพระพุทธเจ้า เมื่อได้ฟังธรรมเทศนาครั้งแรกก็ได้เกิดดวงตาเห็นธรรม ต่อมาบิดามารดาและภริยาของยสกุลบุตรติดตามมาฟังธรรมเทศนา ทุกคนก็ได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นโสดาบันบุคคลประกาศตนเป็นอุบาสก-อุบาสิกาในพระพุทธศาสนาเป็นชุดแรกขึ้นในโลก ส่วนยสกุลบุตรนั้นได้ฟังธรรมเทศนาซ้ำสองเห็นแจ้งในอริยสัจและปฏิจจสมุปบาทจิตวิมุติหลุดพ้นจากอุปาทานทั้งปวงบรรลุมรรคผลเป็ฯพระอรหันต์ในที่นั้นจึงขอบวชและนับว่าเป็นอรหันตสาวกองค์ที่หก

การที่ยสกุลบุตรบรรลุมรรคผลได้รวดเร็วเพราะมีการศึกษาสูงด้วยเป็ยบุตรของประธานสภาการแกครองเปรียบเทียบได้กับเป็นโอรสกษัตริย์เผ่ามงโกลเช่นเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะ ย่อมมีพื้นความรู้ในลัทธิสางขยะ, ลัทธิโยคะ, ลัทธิไชนะ อันมีคำสอนแสวงหาการดับทุกข์ทางจิตใจมาก่อนแล้ว ประกอบทั้งย่อมชำนาญในการทำฌาณสมาบัติมามากกิเลสเบาบางฝึกจิตให้เป็นสมาธิบริบูรณ์ด้วยสติปัญญา (มีสัมมาสติ, สัมมาสมาธิ) เป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้วเมื่อได้ฟังคำอธิบายเรื่องตัวทุกข์ที่ถูกต้องว่าคือ “อุปาทานขันธ์” และรู้ถึงเหตุเกิดและเหตุดับแห่งอุปาทานขันธ์โดยนัยแห่งปฎิจจสมุปบาท และรู้วิธีปฏิบัติตามนัยมรรคมีองค์แปดประการที่ใช้ถอนอุปาทานขันธ์ได้แท้จริง ท่านก็ส่งจิตใครครวญตามไปสามารถรับรสแห่งพระสัจจธรรมตามปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าได้โดยเร็วพลันแตกต่างกว่าผู้อื่น นับว่าเป็นปรากฏการณ์พิเศษ

ต่อมามิตรสหายของยสกุลบุตร ซึ่งต่างก็เป็นปัญญาชนเผ่ามงโกลมีหน้าที่การงานสูงคือเป็นสมาชิกสภาปกครองของเมืองพาราณสีจำนวน 54 คนก็พากันมาบวชตามยสกุลบุตร และได้บรรลุมรรคผลเป็นอรหันตสาวก นับรวมทั้งสิ้นในขณะนั้นได้ 60 องค์

พอออกพรรษาแล้ว พระพุทธเจ้าจึงส่งอรหันต์สาวกชุดแรก 60 องค์ขึ้นไป “ประกาศพรหมจรรย์” คือ “การปฏิบัติตามแนวมรรคมีองค์แปด” แก่มหาชนเพื่อยกระดับจิตใจให้พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน มีจิตใจสุขสงบบริบูรณ์ด้วยสติปัญญารู้ดีรู้ชั่ว ยังผลให้เกิดอริยบุคคลสี่จำพวก คือ โสดาบัน,สกทาคามี, อนาคามี, อรหันต์ ขึ้นในโลกเป็นจำนวนมากตามความสามารถและความเพียรของแต่ละบุคคล

หลังจากนั้น พระพุทธองค์ก็ออกเดินทางจากป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน กลับไปยังตำบลอุรุเวลา เสนานิคม เพื่อไปสั่งสอนชฎิลดาบส 3 พี่น้องซึ่งมีบริวารพันคน นับถือลัทธิบูชาไฟและทำฌาณสมาบัติชั้นสูงได้ให้บรรลุมรรผล และในระหว่างเดินทางนั้นได้พบพวกเจ้าชาย 30 องค์มาประพาสสวนอุทธยาน จึงสอนด้วย หลักอริยสัจจ (อันประกบด้วยปฏิจจสมุปบาท) และหลักอนัตตา ทำให้บรรลุมรรคผลเป็นอรหันตสาวกอีก 30 องค์ เรียกว่า “ภัทรวัคคีย์” แล้วส่งเป็นสมณทูตไป “ประกาศพรหมจรรย์” แก่มหาชนเป็นคณะที่สอง

หลังจากสั่งสอนชฎิลดาบส 3 พี่น้องกับบริวารานับพันให้บรรลุมรรคผลเป็นอรหันตสวกชุดที่ 3 แล้ว ได้พาสาวกจำนวนมากนั้นไปพักอยู่ที่สวน “ลัฎฐิวัน” แปลว่าสวนต้นตาล กิตติศัพท์เลื่องลือไปทำให้พระเจ้าพิมพิสารและบริวารได้เข้าเฝ้าเพื่อรับคำสอน พระพุทธองค์ได้ตรัสให้ชฎิลดาบสแสดงตนว่าได้ละเลิกบูชาไฟมาบวชเป็นภิกษุในพุทธศาสนาพร้อมด้วยบริวารทั้งหมดแล้ว ยังผลให้พระเจ้าพิมพิสารบังเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพุทธศาสนามีใจร่าเริงยินดีพร้อมที่จะรับคำสอนแล้วพระพุทธองค์จึงทรงแสดงธรรมเทศนาทำนองเดียวกับที่สอนยสกุลบุตร ยังผลให้พระเจ้าพิมพิสารกับบริวารที่ฉลาดส่วนหนึ่งได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นโสดาบันบุคคล พระเจ้าพิมพิสารเห็นว่าสวนต้นตาลนั้นอยู่ห่างไกลจากนครราชคฤห จึงถวายเวฬุวัน (สวนไผ่) ให้เป็นอารามของพุทธศาสนาแห่งแรก ซึ่งอยู่ใกล้ประตูเมืองราชคฤหเพียงหนึ่ง กม, เศษ สะดวกแก่การที่ภิกษุสงฆ์จะเข้าไปรับบิณฑบาต และสะดวกแก่มหาชนในเมืองที่จะออกมาฟังธรรมคำสอนจากพระบรมศาสดา นับแต่นั้นมาพุทธศาสนาก็เริ่มเป็นปึกแผ่นรุ่งเรืองอยู่ในแคว้นมคธซึ่งเป็นแคว้นใหญ่มีพลเมืองมาก



5. ทรงตั้งอรรคสาวกที่เคยเป็นพราหมมาก่อนเพื่อต่อสู้กับ ศาสนาพราหมณ์

ในยุคสมัยนั้น พรามณ์มีอิธิพลมากในสังคม เพราะพารมณ์คือ ชนเผ่าอาระยันที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศอินเดียจากทางทิศตะวันตก (พวกที่อพยพไปทางยุโรปคือฝรั่งชาติต่าง ๆ) ชนเผ่าอาระยันที่เข้ามาในอินเดียได้รุกรานยึดครองบ้านเมืองของชนเผ่าทัสยุและชนเผ่ามิลักขะ ซึ่งเป็นคนพื้นเมืองเดิมที่อยู่อาศัยในลุ่มแม่น้ำสินธุและลุ่มแม่น้ำคงคา พวกที่หลบหนีได้ทันก็อพยพงมาทางใต้ พวกที่หนีไม่ทันก็ถูกชนเผ่าอาระยันบังคับกดขี่ลงเป็นทาส เนื่องจากชนเผ่าอาระยันเป็นเจ้าอุบายจึงได้ก่อตั้งศาสนาพราหมณ์ขึ้นเพื่อหวังประโชน์ในการปกครอง โดยอ้างว่า ชนเผ่าอาระยันนั้นเป็นลูกหลานของพรหมผู้สร้างโลกจึงได้ชื่อว่าพรามณ์ และอ้างว่าพระพรหมได้แบ่งคนในอินเดียเป็นสี่วรรณะตามหน้าที่การงาน ให้พรามณ์เป็นวรรณะสูงสุดมีหน้าที่สวดมนต์อ้อนวอนขอพรจากพระเจ้าได้แต่เพียงวรรณะเดียว วรรณะที่สองคือวรรณะกษัตริย์เช่นชนเผ่ามงโกลซึ่งเป็นนักรบกันทั้งเผ่า วรรณะที่สามคือ วรรณะแพศย์ได้แก่พ่อค้าและช่างฝีมืออันได้แก่เผ่าทัสยุ วรรณะที่สี่คือ วรรณะศูทรหมายถึงชนเผ่ามิลักขะซึ่งเป็นกรรมกรใช้แรงงานทำการกสิกรรมเลี้ยงสัตว์ไถนาผลิตอาหารเลี้ยงชุมชนแล้วพรามณ์ยกพระอิศวรซึ่งเป็นพระเจ้าของชนเผ่ามิลักขะว่ามีอำนาจล้างโลกได้ มีอาวุธวิเศษคือตรีศูล (หอกสามง่าม) ทำให้ชนเผ่ามิลักขะพอใจ ส่วนชนเผ่าทัสยุยังไม่มีพระเจ้าที่แน่นอนพรามณ์ก็ตั้งให้ชื่อพระวิษณุ ถ้าอยู่ในน้ำเรียกพระนารายณ์นอนหลับอยู่บนหลังงูใหญ่ลอยอยู่ในเกษียณสมุทรมีฤทธิมากอาจแบ่งภาคอวตารมาเป็นมนุษย์ เป็ฯวีรบุรุษที่คอยปราบคนพาลบริการคนดีตามยุคสมัยมีอาวุธวิเศาคือจักรขว้างไปตัดคอศัตรูได้ในระยะไกล การยกย่องพระเจ้าอย่งนี้ทำให้ทั้งชนเผ่าทัสยุและชนเผ่ามิลักขะพอใจยอมรับคำสอนตามนิทานที่พรามณ์แต่งขึ้น แต่แล้วพรามณ์ก็รวบอำนาจเอาพระเจ้าทั้งสามเข้ามารวมเป็ฯหนึ่ง (ตีมูรติ) ถือว่าชีวิตแต่ละคนแล้วแต่พระพรหมลิขิตและอาจดลบันดาลให้ดีให้ชั่วได้ และพระพรหมผู้สร้างโลกและสรรพสัตว์ ตอนที่ปั้นรูปคนและสัตว์แล้วรูปนั้นยังไม่มีชีวิต พระพรหมได้แบ่งภาคชีวิตและวิญญาณ (SOUL) ของพระองค์สิงอยู่ในร่างใดร่างนั้นจึงมีชีวิตขึ้นมา พระพรหมจึงเป็นบรมอัตตาใหญ่เจ้าของชีวิตและวิญญาณของคนและสัตว์ในโลก ถ้าทรงพิโรธเมื่อใดก็จะเรียกจิตวิญญาณ (SOUL) กลับคืนไปร่างนั้นก็สิ้นชีวิต คือตาย ฉนั้นต้องเกรงกลัวพระเจ้าอย่าให้พิโรธได้โดยทำดีตามที่พรามณ์สอน พรามณ์เป็นวรรณะเดียวที่มีหน้าที่สวดมนต์ขอพรให้พระเจ้าเมตตา สงบความชั่วร้ายโดยการเซ่นสังเวยและบูชายันต์ต่าง ๆ ที่พรามณ์คิดพิธีการขึ้นให้ดูลึกลับน่าเลื่อมใส และพรามณ์อ้างว่าสามารถติดต่อกับเทวดา, ภูติผีด้วยการร่ายมนต์มิให้มาทำร้ายคนที่จ้างพรามณ์ทำพิธีได้ด้วย ดังนั้นพรามณ์ก็ไม่ต้องทำงานหนักในการทำมาหากินเพียงแต่รับจ้างสวดมนต์ทำพิธีให้วรรณะอื่น ๆ ก็ร่ำรวยสบายดี แถมยังหากินกับคนตายได้อีก โดยสอนมหาชนว่า เมื่อใครตายลงญาติพี่น้องจะต้องจ้างพรามณ์ทำพีธีศารธส่งวิญญาณผู้ตายให้ไปเกิดใหม่โดยเร็ว ถ้าไม่มีใครทำบุญอุทิศให้จิตวิญญาณ (SOUL) ของผู้ตายก็จะร่อนเร่เป็นสัมภวาสี คือภูตผีไม่มีญาติเป็นเปรต, อสูรกายภูติผีชั้นเลวที่อดอยากเที่ยวไปหลอกหลอนผู้คนเที่ยวไปขอส่วนบุญจากคนทั่ว ๆ ไป ยามไปเกิดใหม่อวัยวะก็ไม่ครบต้องเป็นคนพิการต่าง ๆ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องจ้างพรามห์ทำพิธีศารธให้วิญญาณผู้ตายจะได้สงบสุขและถ้าอยากให้จิตวิญญาณ (SOUL) ของผู้ตายไปสวรรค์เร็ว ๆ ก็ต้องให้โคตัวเมียแก่พรามห์หนึ่งคู่แลให้ของกินของใช้แก่พรามห์ให้พอกินตลอดปีเป็นการเหมาจ่ายอย่างนี้พราหมณ์จะสวดมนต์ขอพรให้อย่างดีพิเศษและวิญญาณ (SOUL) ของผู้ตายก็จะได้ขี่โคซึ่งเป็นพาหนะของพระอิศวรผ่านประตูสวรรค์ได้โดยง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น พรามณ์เที่ยวสั่งสอนลัทธิความเชื่อแก่มหาชนดังกล่าวไปทั่วประเทศอินเดียยุคโบราณซึ่งมหาชนส่วนใหญ่เชื่อว่ามีพระเจ้าและเชื่อเรื่องวิญญาณ (SOUL) ว่าเป็นส่วนแบ่งของพระเจ้าและกลัวภูติผี, เทวดา อยากไปสวรรค์บนฟ้าภายหลังการตายและกลัวตกนรกใต้ดิน ทำให้พราหมณ์หลอกหากินกับชาวบ้านในยุคโบราณได้สะดวก ที่มีอยู่บ้างตรงที่พราหมณ์ตั้งตัวเป็นครูอาจารย์สั่งสอนศิลปศาสตร์ 18 ประการ* แก่มหาชนเรื่องการทำมาหากิน, เรื่องการปกครอง,ตัดสินกรณ๊พิพาทต่าง ๆ ซึ่งพระราชาในยุคนั้นก็พอใจสนับสนุนคำสอนของพราหมณ์ เพราะพราหมณ์สั่งสอนมหาชนว่า พระราชาเป็นสมมุติเทวราชเพราะได้ทำบารมีไว้มากในชาติปางก่อนจึงมีสิทธิมีอำนาจเป็นทั้งพระเจ้าแผ่นดินและเป็นเจ้าชีวิตของมหาชนซึ่งได้อาศัยที่ดินของพระราชาเป็นที่อยู่อาศัยทำมาหากิน ฉนั้นต้องจงรักภักดีต่อพระราชา โดยมอบกายถวายชีวิตปป้องราชบัลลังค์และต้องเสียภาษีอากรให้แก่พระราชาตอบแทนอันเป็นต้นกำเนิดระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช พระราชาก็แต่งตั้งพราหมณ์ผู้ใหญ่ให้เป็นพระราชครูปุโรหิต ดังนั้นคำสอนของพราหมณ์จึงกลายเป็นวัฒนธรรมประเพณีของมหาชนในประเทศอินเดียฝักรากลึกมาตั้งแต่ยุคโบราณมีการแบ่งชั้นวรรณะกันมาจนถึงยุคปัจจุบัน คำสั่งสอนของพราหมณ์นอกจากจะให้ประโยชน์สูงสุดแก่วรรณะพราหมณ์แล้ว ยังเป็นเครื่องมือในการปกครองของพระราชาที่อ้างสิทธิอำนาจในฐานะเป็นสมมุติเทวราชบังคับกดขี่ปกครองมหาชน ให้อยู่ในอำนาจได้ตลอดมา


บทสวดของพราหมณ์นั้น มีอยู่ 4 คัมภีร์ คือ

คัมภีร์ ฤคเวท - ประมวลบทสวดสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า

*ศิลปศาสตร์ 18 ประการคือ

1. สูติ -รู้จักเลี้ยงสัตว์บอกฤดูกาล

2. สมมติ - รู้จักกำเนิดต่าง ๆ ของโลก(ภูมิศาสตร์)

3. สังขยา - รู้การคำนวณ

4. โยโค - รู้การช่างฝีมือ

5. นิติ - รู้กฎหมายระเบียบแบบแผน

6. วิเสสิกา - รู้การเลี้ยงปวงชนให้เป็นสุข

7. คณิกา - รู้ตำรานักขัตฤกษ์ (ดาราศาสตร์)

8. คันธัพพา - รู้การดนตรี

9. ติกิจฉา - รู้แพทย์ศาสตร์

10. ธนุพเพธา - รู้ศรศิลป ยิงธนู

11. ปุราณา - รู้ประวัติศาสตร์

12. อิติหาสา - รู้ทิศมงคล,อวมงคล

13. โชติสา - รู้คัมภีร์พยากร

14. มายา - รู้จักสิ่งที่เป็นมายา,อุบาย

15. เหตุ - รู้จักเหตุและผล

16. อันตา - รู้จักการเลี้ยงปศุสัตว์

17. ยุทธนา - รู้ตำราพิชัยสงคราม

18. ฉันทสา - รู้อักษรศาสตร์,ฉันทลักษณ์

คัมภีร์ ยชุรเวท - ประมวลบทสวดพิธีกรรม

คัมภีร์ สามเวท - ประมวลบทสวดกล่อมบูชายัญ

คัมภีร์ อาถรรพ์เวท - ประมวลเวทมนต์ไสยศาสตร์ต่าง ๆ

สรุปได้ว่า อาชีพของพราหมณ์นั้นคือรับจ้างทำพิธี, สวดมนต์ขอพรพระเจ้า, เทวดาภูติผีให้สงยความร้าย และเป็นครูอาจารย์สอนศิลปศาสตร์และตัดสินข้อพิพาทต่าง ๆ เท่านั้น จึงไม่มีความรู้ในปรัชญาชีวิตแสวงหาทางดับทุกข์ทางจิตใจแบบชนเผ่ามงโกลเลย พระพุทธเจ้าจึงเผยแพร่พุทธศาสนาสอนให้ทุกคนใช้สติปัญญาทำดีเว้นชั่วด้วยความเชื่อมั่นในการกระทำของตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพระเจ้าเทวดาภูติผี แก้ความโง่งมงายของมหาชนตามที่พราหมณ์สอน โดยเริ่มต้นต่อสู้กับศาสนาพราหมณ์ในแคว้นมคธที่มีพราหมณ์ชั้นผู้ใหญ่อยู่มากมายและมีเจ้าลัทธิทั้งหกอยู่แล้วเรียกว่าเข้าไปปราบเสือในถิ่นเสือ เจ้าลัทธิทั้งหกคือ

1. ปุรณกัสสป สอนอกิริยทิฏฐิ ทุกอย่างเป็นไปเอง(มีเหตุแต่ไม่มีผล)

2. มักขลิโคศาล สอนลัทธิอเหตุกะ แล้วแต่ดวงชะตา (ไม่มีเหตุ แต่มีผล)

3. อชิตเกสรกัมพล สอนนัตถิกะทิฏฐิ วัตถุนิยม,โลกนิยม เป็นลัทธิขาดสูญ

4. ปกุธกัจจายนะ สอนลัทธิโจร ไม่มีการฆ่าเป็นเพียงมีดผ่านอณู (ไม่มีทั้งเหตุทั้งผล)

5. สัญชัยสอนลัทธิอาชฌานวาทิน (ขจัดอวิชชา) ยึดเหตุผลเป็นหลัก

6. มหาวีระ (นิครนถ์นาถบุตร) สอนลัทธิไชนะ (ทรมานกายเพื่อสิ้นกิเลส)

การที่ทำให้ชฏิลดาบสสามพี่น้องกับบริวารนับพันละเลิกลัทธิเดิมหันมาบวชในพุทธศาสนาทั้งหมด และการที่พระเจ้าพิมพิสารมหาราชาแห่งแคว้นมคธประกาศตนเป็นพุทธมามกะถวายเวฬุวันให้เป็นอารามแห่งแรกของพุทธศาสนาย่อมเป็นที่เลื่องลือแ

สร้างศรัทธาแก่มหาชนที่ฉลาดหันมาสนใจในคำสอนของพระพุทธเจ้ากันมากมาย เมื่อพระพุทธองค์ทอดพระเนตรเห็นพระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตรผู้เป็นพราหมณ์ชั้นผู้ใหญ่มีชื่อเสียงพาบริวารที่เป็นพราหมณ์จำนวนมากมาขอบวชเป็นภิกษุในพุทธศาสนา พระองค์จึงตรัสว่า “อรรคสาวกเบื้องขวา และเบื้องซ้ายของเรามาแล้ว” ทั้งนี้เพื่อจะเอาผู้ที่เคยเป็นพราหมณ์มาก่อนไปสอนมหาชนให้หายโง่งมงายจากคำสอนของพารหมณ์นั้นเอง เมื่อมีสาวกที่สามารถเช่นนี้ทำให้พวกพราหมณ์ยอมสยบทำให้พุทธศาสนาตั้งมั่นได้ในแคว้นมคธอย่างเป็นปึกแผ่นและขยายตัวแย่งชิงมหาชนจากคำสอนของพราหมณ์มาได้ถึงเจ็ดแคว้น ในจำนวนสิบหกแคว้นในเวลาต่อมา



6. ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์

เนื่องจากพุทธศาสนา เป็นลัทธิอเทวนิยมไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า จึงไม่ต้องมีสวรรค์บนฟ้าให้พระเจ้าอยู่และปฏิเสธจิตวิญญาณแบบอัตตาเที่ยง (SOUL) จึงเป็นส่วนแบ่งจากพระเจ้าผู้เป็นบรมอัตตือว่าไม่ใช่ความจริง แต่สอนให้มนุษย์รู้จักใช้สติปัญญาทำดีละชั่วด้วยตนเอง ไม่ต้องพึ่งพระเจ้าหรือเทวดาภูตผีตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ สวรรคค์นรกของชาวพุทธจึงมีอยู่ภายในจิตใจถ้าจิตสงบก็เปรียบเหมือนสวรรค์ ถ้าจิตขุ่นมัวเศร้าหมองก็เปรียบเหมือนตกนรกอันเป็นเรื่องของชีวิตประจำวันในชาตินี้ชีวิตนี้เท่านั้น คำว่าวิญญาณของพุทธศานาหมายถึงธาตุรู้ในระหว่างที่มีชีวิตที่รู้หกทางคือ ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาน, ใจภาษาอังกฤษเรียกว่า Consciousness ภาษาบาลีเรียกว่า “วิญญาณขันธ์” เป็นขันธ์หนึ่งในห้าขันธ์ (รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ) เมื่อรูปขันธ์ (รูปกาย) แตกทำลาย คือตาย วิญญาณขันธ์ก็ดับสลายตามไปเพราะไม่มีรูปกายเป็นที่อยู่อาศัย เราจึงสวดมนต์ทำวัตรกันว่า “วิญญาณไม่เที่ยง ”วิญญาณเป็นอนัตตา” (ไร้ตัวตนที่แท้จริง) ดังนั้นคำสอนของพุทธศาสนาที่แท้จึงมีแต่ในเรื่องระหว่างที่มีชีวิตอยู่ ตายแล้วไม่มีคำสอน ไม่มีเรื่องเวียนว่ายตายเกิดด้วยวิญญาณ แบบอัตตาเที่ยง (SOUL) อย่างที่พราหมณ์สอนมหาชนเพราะขัดกับหลักอนัตตา

ในพรรษาที่สองขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เวฬุวัน พอถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 เป็นวันไหว้พระศิวะของศาสนาพราหมณ์ พระอรหันตสาวก 1250 องค์ซึ่งล้วนแต่เป็นเอหิภิกษุอุปสัมปทา (พระพุทธเจ้าบวชให้โดยอนุมัติด้วยวาจา) ได้พร้อมใจกันมาเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้มีการนัดหมายมาก่อน พระพุทธองค์ได้แสดงโอวาทปาฏิโมกข์กำชับให้รักษาพระธรรมวินัย มีใจความสำคัญที่ชาวพุทธทั่วไปพึงจดจำโดยย่อในประโยคที่ว่า “ไม่ทำบาปทั้งปวง, ทำกุศลให้ถึงพร้อม, ทำจิตให้บริสุทธิ์” อันเป็นหลักปฏิบัติของชาวพุทธชั้นดีทั่วไปเพื่อความเป็นบุคคลอันประเสริฐ (อริยบุคคลสี่จำพวกได้แก่ โสดาบัน, สกทาคามี, อนาคามี, อรหันต์) ชาวพุทธเรียกวันที่ระลึกอันสำคัญที่มีเหตุการณ์สี่อย่างบังเกิดขึ้น (จาตุรงค์สันนิบาต) นี้ว่า “วันมาฆะบูชา”

1 ความคิดเห็น: